ตั้งไอเดียไว้ก่อน ค่อยมาคุยกัน เร็วๆ นี้

  1. ปุ๋ยเคมีจริง 22.5 กิโลกรัม/กระสอบ เมื่อปุ๋ยนั้นเป็นเคมีสังเคราะห์ มันไม่ใช่ธรรมชาติ ก็ทำให้จุลินทรีย์ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ทนต่อเคมีไหมไหว ตาย หรือถึงขั้นสูญพันธุ์ไปจากที่ดินเราไป เมื่อไม่มีจุลินทรีย์ แมลง ไส้เดือน ผู้ช่วยเกษตรกรไม่มา และยังเป็นสาเหตุทำให้ดินมีค่า pH เป็นกรด เป็นด่าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการกินปุ๋ยของต้นไม้ลดลง เกิดภาวะต้นไม่ไม่กินปุ๋ย
  2. อีก 27.5 กิโลกรัม/กระสอบ คือ สารเติมเต็ม เช่น โฟม ปูนขาว ทรายบด ยิปซัม เป็นต้น เป็นสาเหตุทำให้ดินมีค่า pH เป็นกรด เป็นด่าง แถมยังส่งผลให้ดินแข็ง รากเดินยาก
  3. ทั้ง 2 สาเหตุนี้อาจทำให้หน้าดินตายไปเลยก็เป็นได้ ยิ่งใช้เคมียิ่งสะสมตกค้างในดิน
  4. การทำลายดินของสารเติมเต็ม ส่งผลให้ธาตุอาหารสะสมในดิน เช่น แคลเซียม แม็กนีเซียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส ถูกทำลายไปด้วย ดังนั้นสาเหตุนี้เองที่บางคนเคยใส่ปุ๋ยเคมีมานาน แล้วลองหยุดใส่ดู มักจะบ่นว่าต้นไม้ไม่โตเหมือนตอนใส่ ก็แหงหละครับ ปุ๋ยเคมีทำลายธาตุอาหาร ทำลายจุลินทรีย์ และแมลงธรรมชาติซะหมด ต้นไม้อยู่โดดเดี่ยว ธาตุอาหารสะสมตามธรรมชาติก็หายไปแล้ว ต้นไม้จึงโตไม่ดี เกษตรกรจึงเชื่อโดยสนิทใจเลยว่า ปลูกต้นไม้ต้องใส่ปุ๋ยเคมีถึงจะได้ผลดี
  5. เมื่อหน้าดินเสีย ก็จะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมธาตุอาหารของต้นไม้ ต้นไม้ดูดซึมได้ไม่ดี ดินแข็ง รากไม่เดิน ธาตุอาหารไม่เพียงพอ ธาตุอาหารหลักอาจมีเฉพาะตอนใส่ปุ๋ย แต่ธาตุอาหารรอง เสริม แทบไม่เหลือกิน และพอพ้น 1 เดือน ฤทธิปุ๋ยเคมีหมด แม้กระทั่งธาตุอาหารหลักก็ไม่พอกิน ต้นไม้จึงขาดสารอาหาร อ่อนแอ ภูมิต้านทานตก เกิดโรคภัยง่ายกว่าต้นไม้ทั่วไป เกษตรกรจึงต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคและแมลงศัตรูพืชอีกมากมาย
  6. จากข้อก่อนก็ยังส่งผลกระทบต่อผลผลิตด้วย จะหาผลผลิตมากขึ้นได้ยังไงในเมื่อต้นไม้ยังคงอ่อนแออยู่เช่นนี้
  7. ดินพังเรื่อยๆ ต้นไม้อ่อนแอลง จึงไม่แปลกเลยที่ยิ่งปลูกซ้ำ ผลิตผลิตก็จะยิ่งค่อยน้อยลงไปเรื่อยๆ (ไม่เชื่อลองทำสถิติต่อไร่ดูสิ)

Leave a comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *