การเกษตรนับเป็นกิจกรรมที่จำเป็นมากต่อการเป็นอยู่ของอาหารในครัวเรือน
เพราะไม่มีบ้านไหนที่ทำกับข้าวโดยไม่ต้องใช้พืชผัก มันจำเป็นต้องซื้อ

แต่ถ้าวันนี้หลังบ้างเรามีพื้นที่อยู่บ้าง อยากจะปลูกผักสวนครัวเอาไว้กินเอง
หรือจะทำเป็นอาชีพปลูกเพื่อขาย ก็นับว่าเป็นอาชีพที่ดีไม่น้อย

สำหรับเกษตรกรที่ทำการเพาะปลูก เขาก็อยากให้พืชผักที่ตนปลูกมีผลที่สมบูรณ์ ได้ลูกเยอะ มีน้ำหนัก มีคุณภาพ และไม่มีเชื้อโรค หรือศัตรูพืชมาทำลาย เพื่อจะได้จำหน่ายได้รายได้มากๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ผักสวนครัวนับเป็นพืชที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงมากนัก เกษตรกรจึงมักจะประสบปัญหามากมาย ทั้งศัตรูพืชเอง เชื้อโรค หรือสภาพอากาศ น้ำท่วม น้ำแล้ง หรือปัญหาเรื่องรายได้ไม่คุ้มปุ๋ย
ทำให้เกษตรกร จำเป็นต้องเสียเงิน เสียแรง และเสียเวลาที่จะแก้ไขปัญหานี้
หรือบางครั้งต้องขาดทุนจากการลงทุนปุ๋ยไปเสียด้วยซ้ำ

ซึ่งปัญหาที่อาจจะเกิดกับผักสวนครัวได้ ยกตัวอย่างเช่น
1. โรคเน่า เชื้อรา ใบด่าง ใบจุด - ส่วนมากแล้วปัญหานี้มักจะเกิดจาก
- ติดมากับพันธุ์เอง หรือเชื้อโรคมันก็มีอยู่ในดินอยู่แล้ว โดยเฉพาะแปลงที่มีการปลูกซ้ำๆ บ่อยๆ
- การใส่ปุ๋ยคอกที่ไม่ผ่านการหมัก เพราะปุ๋ยคอกเหล่านี้จะเป็นหลักสำคัญที่จะนำพาเชื้อรา เชื้อโรคมาสู่ดิน แม้การใส่ปุ๋ยคอกจะช่วยการปรับสภาพดิน แต่มันก็มาพร้อมกับหัวเชื้อโรคชั้นดีด้วย
- การใส่ปุ๋ยยูเรียเป็นระยะเวลาที่นาน ต้องยอมรับในทางการวิจัย พบว่า ปุ๋ยยูเรียที่ตกค้างอยู่ในดิน เป็นส่วนสำคัญทำให้ดินเปรี้ยว มีค่าเป็นกรดมากขึ้น (ลองเอาน้ำส้มคั้นสดผสมยูเรียแล้วชิมดู น้ำส้มที่กินจะมีความเปรี้ยวเพิ่มมากขึ้น) เหมาะกับการเติบโตของเชื้อโรค คนสมัยก่อนจึงต้องแก้ด้วยปูนขาว (ด่าง) ปูนขาวไม่ได้ทำให้เชื้อตาย แต่ทำให้ดินตัดกรดด้วยด่าง เชื้อโรคจะไม่แพร่เพิ่ม
ซึ่งการที่ดินมีค่าเป็นกรดก็จะส่งผลทำให้ดินละเอียดขึ้น แน่นขึ้นเหนียวขึ้น รากจึงเดินไม่ค่อยดี แก๊สในดินก็ระบายออกได้ยาก ไม่โปร่ง ส่งผลทำให้ดินแฉะนาน เป็นกรด ซึ่งต้นไม้ส่วนมากไม่ชอบดินแฉะ ถ้าดินแน่นไป ก็หายใจไม่ออก นอกจากนี้ดินเป็นกรดก็ยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อขยายพันธุ์ได้ดีของเชื้อโรคอีกด้วย

2. เพลี้ย แมลง เหตุการณ์นี้มักจะเกิดในช่วงต้นไม้อ่อนแอ หรือใส่ปุ๋ยยูเรียจนต้นไม้บ้าใบ ใบยาว เขียว แต่ใบบาง แมลงชอบเพราะกินง่าย ใบตกโค้งปิดเป็นโพรงที่อยู่อาศัยของแมลงได้ดีเลย ถ้าเกิดอาการนี้แล้วคงต้องแก้ตามอาการ แล้วงวดหน้าต้องลองใหม่

เตรียมดินเริ่มต้นฤดูกาล
- ปรับสภาพดินให้พร้อมต่อการเพาะปลูก ด้วยการหว่านปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) ให้ทั่วแปลง ในอัตรา 2 กระสอบ (50 ก.ก.) ต่อไร่ ทิ้งไว้ 1 เดือน (โดยเฉพาะแปลงที่เคยใช้ปุ๋ยเคมีมาโดยตลอด) เพื่อซักดิน ปรับภาพความเป็นกรดด่าง ฆ่าเชื้อโรค
- ยกร่อง เป็นเนินหลังเต่าตามสูตรที่ศึกษามาในแต่ละพื้นที่ หว่านปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) ให้ทั่วแปลง ในอัตรา 1 กระสอบ (25 ก.ก.) ต่อไร่ ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์
- แต่ถ้าฤดูกาลก่อนเคยใช้ปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) ให้หว่านปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) ให้ทั่วแปลง ในอัตรา 2 กระสอบ (50 ก.ก.) ต่อไร่ แล้วยกร่องทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ได้เลย
- หากปลูกเป็นรายต้น ให้คลุกดินผสมปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) กำเล็กๆ ต่อหลุม คลุกกับดินให้เข้ากันทิ้งไว้ 1 เดือน เมื่อลงต้นพันธุ์แล้วให้หว่านปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) กำมือเล็กๆ ต่อต้น

บำรุงต้นพันธุ์
- ไม่ต้องรองก้นหลุม ลงต้นพันธุ์ช่วงเวลาเย็นๆ เพื่อป้องกันใบไหมจากแสงแดด
- ถ้าเพาะพันธุ์ด้วยเมล็ด ให้ใช้เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ แช่พันธุ์ ด้วยปุ๋ยน้ำ ฮิ้ว 1 (10 cc) + เจซี 301 (5 cc) + แอคมี (10 cc) ต่อน้ำ 20 ลิตร เป็นเวลา 6 ชั่วโมง และแช่น้ำบอระเพ็ดอีก 1 ชั่วโมงเพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชขโมยเมล็ดพันธุ์ไปกิน
- หากยังอนุบาลในถุงอนุบาลให้ใส่ปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) ครึ่งช้อนชาต่อต้น และฉีดพ่นปุ๋ยน้ำ ฮิ้ว 2 (10 cc) + เจซี 301 (5 cc) ต่อน้ำ 20 ลิตร ทุกๆ 7 วัน
- งดปุ๋ยมูลสัตว์ทุกชนิด
- รดน้ำช่วงเช้า หรือวันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับความชื้น/แล้งของแต่ละแปลง เพราะต้นไม้นี้ชอบชื้นแต่ไม่ชอบแฉะ อับชื้น
- เมื่อเริ่มงอกต้น มีใบให้ฉีดพ่น ปุ๋ยน้ำ ฮิ้ว 2 (10 cc) + เจซี 301 (5 cc) ต่อน้ำ 20 ลิตร (อาจเพิ่มพลัส 1 10 cc ก็ได้ เพื่อบำรุงที่สุดยอด) ทุกๆ 7 วัน และทุกๆ 1 เดือนให้ผสม แอคมี (20 cc) ลงไปด้วย จะได้ช่วยป้องกันเชื้อโรคในต้นผัก
- เนื่องจากพืชชนิดนี้กินปุ๋ยให้ทางใบเก่ง และอายุสั้น จึงต้องหมั่นฉีดพ่นปุ๋ยน้ำให้ทางใบ
- ทุกครั้งที่เริ่มรอบใหม่ให้ปรับด้วยปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) ให้ทั่วแปลง ในอัตรา 1 - 2 กระสอบ (50 ก.ก.) ต่อไร่

หากเป็นผักที่ต้องเก็บดอกผล
- 5 วันก่อนออกดอก ให้ใส่ปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) 1 กระสอบต่อไร่ หรือต้นละ 1 กำมือ
- ฉีดพ่นด้วย ปุ๋ยน้ำ ฮิ้ว 2 (10 cc) + เจซี เอฟพลัส (5 cc) ต่อน้ำ 20 ลิตร (อาจเพิ่มพลัส 2 10 cc ก็ได้ เพื่อบำรุงที่สุดยอด) ทุกๆ 7 วัน และทุกๆ 1 เดือนให้ผสม แอคมี (20 cc) ลงไปด้วย จะได้ช่วยป้องกันเชื้อโรคในผัก
- ให้งดฉีดพ่นปุ๋ยตอนช่วงผสมเกสร แต่เมื่อผสมเกสรเสร็จแล้วให้ฉีดพ่นปุ๋ยน้ำ ฮิ้ว 2 (10 cc) + เจซี เอฟพลัส (5 cc) ต่อน้ำ 20 ลิตร (อาจเพิ่มพลัส 2 10 cc ก็ได้ เพื่อบำรุงที่สุดยอด) ทุกๆ 7 วันต่อจนเก็บผลผลิต

เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จเตรียมรุ่น 2 ด้วยการฉีดพ่นปุ๋ยน้ำ และหว่านปุ๋ยเม็ด 1 กระสอบต่อไร่

หากเกิดปัญหาเชื้อโรคในต้นพันธุ์
- ให้ฉีดพ่นปุ๋ยน้ำ ฮิ้ว 2 (20 cc) + เจซี 301 (5 cc) + แอคมี (50 cc) ต่อน้ำ 20 ลิตร  (อาจเพิ่มพลัส 1 10 cc ก็ได้ เพื่อบำรุงที่สุดยอด)
- หว่านปุ๋ยเจซี 633 (สีส้ม) 1 กระสอบต่อไร่
- ช่วงรักษาต้นไม้จะทิ้งใบที่มีปัญหาออกไป แล้วแตกยอดใหม่
- หากเกิดแมลงศัตรูพืชรบกวน ให้ใช้วิธีดำเนินการตามสูตรที่ศึกษามาในแต่ละชนิดของแมลง

ปุ๋ยน้ำชีวภาพให้ทางใบ เป็นปุ๋ยที่พัฒนาสูตรโดยศึกษาจากธรรมชาติของต้นไม้  เพราะต้นไม้สามารถกินอาหารทางใบได้ด้วย และเป็นการย่นย่อระยะทาง การฉีดพ่นปุ๋ยน้ำทางใบจะทำให้ต้นไม้สามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาดูดซึมอาหารจากรากขึ้นสู่ใบ ทำให้ต้นไม้สดชื่นไว เห็นผลเร็ว ทนแล้งทนหนาวได้ และแข็งแรงเติบโตดี เสมือนการให้น้ำเกลือแร่กับต้นไม้นั่นเอง

This is the bottom slider area. You can edit this text and also insert any element here. This is a good place if you want to put an opt-in form or a scarcity countdown.