ผมเคยได้ยินบางคนบอกเล่าว่า ใช้ปุ๋ยน้ำจะเห็นผลไวกว่าปุ๋ยเม็ด
จึงเริ่มศึกษาข้อมูลก็พบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะ
ตามปกติต้นไม้จะดูดซึมสารอาหารจากราก แล้วดูดขึ้นมาต้านแรงโน้นถ่วงโลก แล้วเอาสารอาหารขึ้นมาเก็บบนใบในรูปแบบของแป้ง
จากนั้นช่วงสัก 15.00 น. ต้นไม้จะเริ่มสังเคราะห์แสง ปรุงอาหารเปลี่ยนแป้งเป็นกรดอะมิโนแล้วไหลไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของต้นไม้
แต่ถ้าเราใช้ปุ๋ยน้ำฉีดพ่นทางใบ ก็เหมือนการย่นย่อระยะทาง ต้นไม้จะเอาสารอาหารที่ได้ดูดซึมเข้าทางปากใบ เข้าไปเก็บเลยไม่ต้องออกแรงดูดขึ้นมา ทำให้ต้นไม้สังเคราะห์แสงได้ดีและมากขึ้น เมื่อมีอาหารมาก ต้นไม้จึงเห็นผลสดชื่นได้ไวกว่าปุ๋ยเม็ด เหมาะสำหรับการฟื้นฟูต้นไม้เหมือนการให้น้ำเกลือแร่ เครื่องดื่นชูกำลัง
ผมก็เลยคิดสนุกสงสัยว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เราเอาปุ๋ยน้ำไปราดใต้โคนหรือสาดๆ ตรงต้น โดยำม่ต้องใส่ปุ๋ยเม็ดเลย แบบนี้จะดีไหม
จากการศึกษาสรีระธรรมชาติของต้นไม้กับความสัมพันธ์กับปุ๋ยน้ำ ทำให้ผมรู้เลยว่า
การเอาปุ๋ยน้ำมาราดใต้โคนแทนปุ๋ยเม็ด มันคือการใช้ปุ๋ยผิดประเภท และการใช้แต่ปุ๋ยน้ำอย่างเดียว อาจเห็นผลเร็ว แต่รวมๆ แล้ว ไม่ได้ผลดีเอาเสียเลย เพราะ
1.ปุ๋ยน้ำไม่มีประจุ
เพราะปุ๋ยน้ำเกิดขึ้นมาเพื่อจับผิวใบเพื่อดูดซึมเข้าทางปากใบ แต่ถ้าเราเอาปุ๋ยน้ำราดใต้โคน ปุ๋ยมันไม่มีประจุทำให้ปุ๋ยไม่วิ่งเข้าหาราก และไม่จับที่ดินด้วย ทำให้พอเจอความร้อน มันก็พร้อมระเหยออกไปไว หรือถูกน้ำชะออกไปได้ง่ายมาก ต่างจากปุ๋ยเม็ดที่เกิดมาเพื่อให้อาหารทางดินผ่านราก ปุ๋ยเม็ดจะมีประจุ มันจะเข้าไปจับกับประจุของปลายรากต้นไม้เพื่อดูดซึมเข้าไปได้ง่ายกว่า
2. ปุ๋ยน้ำมีอายุสั้น
เมื่อปุ๋ยน้ำสร้างขึ้นมาเพื่อฉีดพ่นเข้าทางใบ มันจะมีประสิทธิภาพเมื่อฉีดพ่นแล้วต้นไม้ดูดซึมเข้าใบทันที พอดูดซึมแล้วต้นไม้ก็จะนำไปใช้ได้เลย แต่ถ้าฉีดแล้วต้นไม้ยังไม่ดูดซึม มันจะอยู่ข้างนอกได้ไม่นานก็จะเสื่อมสภาพ ถ้าจะเปรียบเทียบกับมนุษย์ ก็เหมือนมื้อนั้นเราได้กินอาหารหรูๆ ก็สามารถกินได้มื้อเดียว พอมื้อต่อไปก็เน่าเสียหมดแล้ว ไม่เหมือนกับปุ๋ยเม็ดที่มีประจุจะเกาะอยู่ในช่องลมของดินได้ดี ประจุจะยึดโยงกันจึงระเหยหรือถูกชะออกไปได้ยากกว่า และอยู่ในดินได้นานกว่ามีระยะเวลาการปลดปล่อยธาตุอาหารให้ต้นไม้ได้นานกว่า อาจจะเห็นปุ๋ยเม็ดเห็นผลช้ากว่าเมื่อเทียบกับการฉีดพ่นทางใบ แต่ปุ๋ยเม็ดจะมีฤทธิ์ปุ๋ยอยู่ได้ระยะเวลาที่นานกว่านั่นเอง ถ้าจะใช้ปุ๋ยน้ำอย่างเดียว เราต้องฉีดพ่นทางใบ วันเว้นวัน ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้หว่านปุ๋ยเม็ดเลี้ยงต้นไม้แล้วฉีดพ่ยปุ๋ยน้ำนานๆ ทีจะดีกว่า
3. ปุ๋ยน้ำมีโมเลกุลเล็กมาก
ความที่มีโมเลกุลเล็กเกินไปนี่เองทำให้เกาะจับดินได้ไม่ดี ทำให้ถูกชะล้างด้วยน้ำ หรือถูกทำให้ระเหยด้วยความร้อนของแดดได้ง่ายมาก ต่างจากปุ๋ยเม็ดที่มีน้ำหนัก มีโมเลกุลใหญ่ ถูกยึดโยงด้วยประจุ ทำให้ระเหยได้ยากกว่า ถูกชะล้างได้ยากกว่า ต้นไม้จึงมีอาหารได้กินต่อเนื่องได้นานกว่า
4. ปุ๋ยน้ำ ถูกดูดซึมได้เร็ว
อาจจะดูเป็นข้อดี แต่ถ้าเราเอาไปราดใต้โคน แล้วถูกดูดซึมเข้าราก สารอาหารเหล่านั้นจะถูกโคนต้นไม้และรากน้ำไปใช้ทันทีในระหว่างลำเลียงสารอาหาร ทำให้ยอดต้นไม้ไม่มีสารอาหารจากปุ๋ยน้ำไปเลี้ยงได้ถึง ข้อนี้เองที่ทำให้การใช้ปุ๋ยน้ำไปราดใต้โคนไม่ได้ทำให้สภาพต้นไม้เราดีขึ้นเลย
5. ปุ๋ยน้ำมีแต่สารอาหาร
พอปุ๋ยน้ำมีแต่สารอาหาร ไม่มีอินทรีย์วัตถุ ทำให้ดินไม่เกิดการปรับสภาพ เมื่อดินไม่ถูกปรับภาพก็จะทำให้รากเดินได้ไม่ดี จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ก็จะลดจำนวนลง ที่สำคัญกว่านั้นคือ ดินจะค่อยๆ มีค่าความเป็นกรดเพิ่มขึ้น บ่อเกิดของแหล่งที่อยู่และขยายพันธุ์ของเชื้อโรคเชื้อราในดิน หากดูในระยะยาวแล้ว ไม่เป็นผลดีเลย
6. แม้จะราดปุ๋ยให้ถูกลำต้นไม้ แต่ลำต้นก็มีปากในน้อยกว่าใบ จึงมีปุ๋ยน้ำที่ถูกทิ้งให้ระเหยไปก่อนการดูดซึมเป็นจำนวนมาก
พูดง่ายๆ การเอาปุ๋นน้ำให้ทางใบ ราดลำต้ยหรือโคนต้นไม้ มันคือการใช้ปุ๋ยที่ผิดประเภทนั่นเอง
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า
ปุ๋ยน้ำนับว่าเป็นปุ๋ยที่ช่วยให้ต้นไม้ฟื้นฟูและเห็นผลเร็ว เพราะสารอาหารจะดูดซึมเข้าไปเพื่อนำไปใช้ได้เร็ว แต่ต้องอยู่ภายใต้วิธีการใช้ที่ถูกต้องด้วย คือฉีดพ่นท่างใบ ดูดซึมผ่านปากใบ พ่นให้โดนใบเท่านั้น จึงจะได้ผลดี
นอกจากนี้การใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ที่ยั่งยืน แม้เราจะมีการฉีดพ่นปุ๋ยน้ำให้ทางใบ ก็ไม่สามารถละเลิกการใส่ปุ๋ยเม็ดได้ มันต้องใช้ควบคู่กับไป
ปุ๋ยเม็ดถือเป็นอาหารหลักของต้นไม้ ที่ค่อยๆ ปลดปล่อยสารอาหารให้ต้นไม้ได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนปุ๋ยน้ำ คือ อาหารหรู ที่ฉีดพ่นให้ต้นไม้ได้เจริญอาหารมากขึ้น หรือช่วยฟื้นฟูต้นไม้ให้สดชื่นเร็ว
หากวันนี้เราไม่ได้ฉีดพ่นปุ๋ยน้ำทุกวัน ก็เหมือนเราไม่สามารถเสริฟอาหารหรูให้ต้นไม้เรากินได้ทุกมื้อ เราจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเม็ด เพื่อให้ต้นไม้มีอาหารหลักได้กินอยู่ทุกวันนั่นเอง